SpeedStep เป็นเทคโนโลยีการประหยัดพลังงานที่อยู่คู่กับกับ CPU ของ Intel มานานแล้ว โดยเริ่มจากซีพียูโมบาย สำหรับ Notebook ก่อน จากนั้นจึงได้มีการนำมาใช้กับ CPU สำหรับเครื่อง Desktop บ้าง โดยเริ่มจาก CPU Pentium 4 6xx ในชื่อรหัส prescott
ก่อนที่จะใช้มาจนถึงทุกวันนี้ ถึงแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนชื่อมาเป็นเทคโนโลยี EIST (Enhanced Intel SpeedStep Technology) แต่โดยภาพรวมแล้วมันก็ยังคงมีพื้นฐานและหลักการที่เป็นแบบเดิมอยู่ คือการปรับความเร็วตามระดับประสิทธิภาพของ CPU ให้สอดคล้องกับระดับการโหลดของระบบที่ต้องการ
อย่างไรก็ตามล่าสุดนี้ Intel ก็ได้นำเทคโนโลยีมีชื่อว่า Speed Shift หรือที่เรียกสั้นๆว่า ISST (Intel Speed Shift Technology) ออกมาแล้ว โดยเทคโนโลยีนี้จะเข้ามาแทนที่เทคโนโลยี EIST ที่มีอยู่เดิม ด้วยความสามารถในการทำงานที่ดีขึ้น
สำหรับเทคโนโลยี Intel SpeedStep เป็นฟังก์ชันการทำงานที่อาศัยการควบคุมระดับประสิทธิภาพของ CPU หรือที่เรียกว่า P-State ให้เหมาะสมกับระดับการโหลดที่เกิดขึ้นในขณะนี้ของระบบปฏิบัติการ ซึ่งการควบคุมนี้ CPU จะมีการปรับความเร็วในการทำงาน และแรงดันไปให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมโดยอัตโนมัติ
โดยผ่านทาง DVFS (Dynamic Voltage and Frequency Scaling) นี่เป็นเทคนิคการจัดการพลังงานของ CPU กล่าวคือเมื่อระบบไม่มีการโหลดใดๆ ระดับประสิทธิภาพของ CPU จะถูกกำหนดให้อยู่ในระดับต่ำที่สุด CPU จะปรับใช้แรงดันไฟฟ้าต่ำที่สุดเพื่อประหยัดพลังงานและลดปริมาณความร้อนที่เกิดขึ้น และเมื่อระบบจำเป็นต้องการใช้ความสามารถที่สูงขึ้น CPU จะเพิ่มความเร็วและแรงดันไฟฟ้าที่เหมาะสมโดยอัตโนมัติ
Intel Speed Shift Technology
สำหรับเทคโนโลยีใหม่นี้ โดยภาพรวมแล้วก็ไม่ถือว่าแตกต่างไปจากเทคโนโลยี SpeedStep มากนัก เนื่องจากมันยังมีลักษณะที่เป็นการควบคุมความเร็วและระดับแรงดันไฟของ CPU ให้เหมาะสมปรับระดับการโหลดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นอยู่ แต่สิ่งที่ต่างออกไปก็คือ
- เทคโนโลยีใหม่นี้จะมีการตอบสนองที่รวดเร็วขึ้น โดยการปรับเปลี่ยนความเร็วและระดับแรงดันไฟฟ้าของ CPU ให้เหมาะสมกับระดับการโหลดแต่ละครั้งจะใช้เวลาน้อยลง และมีความเหมาะสมมากขึ้น เนื่องจาก CPU จะทำหน้าที่ควบคุมระดับ P-State ด้วยตัวเอง เพียงแค่รับคำสั่งจากระบบปฏิบัติการเท่านั้น
- ทาง Intel ได้ให้ข้อมูลว่า เทคโนโลยี Speed Shift จะทำให้การปรับเปลี่ยน P-State ใช้เวลาน้อยลงประมาณ 1 มิลลิวินาที จากเดิมซึ่งการปรับเปลี่ยน P-State ของเทคโนโลยี SpeedStep ซึ่งควบคุมโดยระบบปฏิบัติการจะใช้เวลาระหว่าง 20-30 มิลลิวินาที
- นอกจากนั้นจากสถานะประหยัดพลังงานไปเป็นสถานะที่มีประสิทธิภาพสูงสุดก็สามารถทำได้ภายในเวลาเพียง 35 มิลลิวินาทีเท่านั้น ในขณะที่แบบเดิมจะต้องใช้เวลาประมาณ 100 มิลลิวินาที
- การเปลี่ยนและเพิ่มระดับประสิทธิภาพวิธีทำได้อย่างรวดเร็วทำให้การทำงานของระบบโดยรวมมีการตอบสนองที่ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเทคโนโลยี Speed Shift นี้ ก็ไม่ได้มีผลอะไรกับประสิทธิภาพสูงสุดของ CPU เพียงแต่ถ้ามีการโหลดในช่วงสั้นๆ เกิดขึ้นบ่อยๆ
- เทคโนโลยี Speed Shift จะทำให้การทำงานของระบบมีประสิทธิภาพสูงขึ้นจนรู้สึกได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการท่องเว็บไซต์ด้วย Browser และการใช้โปรแกรมสำนักงาน
- ปัจจุบันนี้เทคโนโลยี Intel Speed Shift ได้ถูกพัฒนาออกมาใช้งานกับ CPU ตละกูล Skylake เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพียงแต่การที่เราใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่นี้ได้ จะต้องใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 10 เท่านั้น และต้องอัพเดท Patch ที่ Microsoft ปล่อยออกมาใหม่ด้วย
- เนื่องจากเทคโนโลยีเป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่าง Intel กับ Microsoft และเหตุผลที่ต้องอัพเดท Patch ใหม่ก็เนื่องจากว่า Windows 10 ที่ Microsoft เปิดตัวออกมาก่อนหน้านี้นั้นยังไม่พร้อมที่จะทำงานกับเทคโนโลยีใหม่นี้
- Intel Speed Shift ที่มีอยู่ใน CPU Skylake ถือเป็นเทคโนโลยีที่น่าสนใจ เพราะมันไม่เพียงแต่จะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของเราประหยัดพลังงาน มันยังทำให้การมีเปลี่ยนแปลงความเร็วของซีพียูตามระดับการโหลดที่เกิดขึ้นทำได้อย่างรวดเร็ว ไม่ล่าช้าเหมือนเมื่อก่อน
ดังนั้นการทำงานโหลดในช่วงระยะเวลาสั้นๆ จึงทำได้มีประสิทธิภาพ และได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่นี้อย่างชัดเจน เพียงแต่ต้องเปลี่ยนมาใช้ Windows 10 ที่รองรับการทำงานเท่านั้นเอง
